วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ธรณีวิทยา

เกี่ยวกับอุทยานธรณีสตูล 
             “อุทยานธรณี”(Geopark) คือ พื้นที่ที่มีความสำคัญและโดดเด่นทางธรณีวิทยา ธรรมชาติวิทยา และวัฒนธรรม  มีเรื่องราวที่เชื่อมโยงคุณค่าของผืนแผ่นดินกับวิถีชีวิตชุมชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยการอนุรักษ์ การถ่ายทอดความรู้ และการพัฒนาอย่างยั่งยืน
             “อุทยานธรณีสตูล” (Satun Geopark) ตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทย ครอบคลุม 4 อำเภอของจังหวัดสตูล คือ ทุ่งหว้า มะนัง ละงู และอำเภอเมือง ลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขาหินปูน มีเกาะน้อยใหญ่  และชายหาดที่สวยงาม นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสกับธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ความรุ่มรวยทางประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตผู้คนที่ผูกพันกับพื้นที่แห่งนี้
            ผืนดินแห่งนี้ เป็นบันทึกหลักฐานของโลกใต้ทะเลเมื่อ 500 ล้านปีก่อน ที่อุดมไปด้วยสิ่งมีชีวิตยุคเก่า เกิดเป็นแหล่งสร้างออกซิเจนให้กับโลกในช่วงเวลานั้น ต่อมามีการยกตัวของเปลือกโลกก่อเกิดเป็นเทือกเขา และถ้ำ ซึ่งได้กลายเป็นบ้านหลังแรกของมนุษย์โบราณ ปัจจุบันผู้คนก็ยังดำรงชีวิตโดยใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของแผ่นดินนี้อยู่ และก่อเกิดเป็นวัฒนธรรมประเพณีที่มีเอกลักษณ์
           ด้วยความโดดเด่นทางธรณีวิทยา ภูมิประเทศและธรรมชาติของอุทยานธรณีสตูล ก่อให้เกิดกิจกรรมการท่องเที่ยวทางธรรมชาติหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวแนวผจญภัย เช่น ล่องแก่ง ดำน้ำ เที่ยวถ้ำ การท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจที่น้ำตก ชายหาด รวมถึงเลือกซื้อของฝากผลิตภัณฑ์ชุมชน และสัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่นที่หลากหลาย
แนวทางในการจัดตั้งเป็นอุทยานธรณีโลก
๑. อุทยานธรณีโลกของยูเนสโก (UNESCO Globat Geoparks) เป็นโครงการด้านการอนุรักษ์มรดกทางธรณีวิทยา โบราณคดี นิเวศวิทยา และวัฒนธรรม ขององค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโก (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization : UNESCO) อุทยานธรณีโลกเป็นขอบเขตพื้นที่ที่ประกอบด้วยแหล่งที่มีคุณค่าด้านธรณีวิทยา โบราณคดี นิเวศวิทยา และวัฒนธรรม มีการบริหารจัดการแบบองค์รวมระหว่างการอนุรักษ์ การให้ความรู้ การศึกษาวิจัย และการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ส่งเสริมและเปิดโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการ เชื่อมโยงความสำคัญของมรดกทางธรณีวิทยาผ่านการท่องเที่ยวเชิงธรณีวิทยา ปัจจุบันทั่วโลกมีอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก จำนวนทั้งสิ้น 120 แห่ง ใน 33 ประเทศ โดยภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีอุทยานธรณีธรณีโลกของยูเนสโกแล้ว จำนวน 4 แห่ง ใน 3 ประเทศ ประกอบด้วย ประเทศสหพันธรัฐมาเลเซีย 1 แห่ง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม 1 แห่ง และสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ๒ แห่ง
๒. จังหวัดสตูลได้ดำเนินการตามแนวทางของกรมทรัพยากรธรณีในการจัดตั้งอุทยานธรณีตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นต้นมา โดยกำหนดพื้นที่อุทยานธรณี ตั้งหน่วยงานบริหารจัดการ จัดทำแผนบริหารจัดการ และดำเนินการตามแผนฯ โดยได้ประกาศจัดตั้งอุทยานธรณีสตูล (Satun Geopark) เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๗

๓. ประโยชน์ของการเป็นสมาชิกของอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก : เป็นการส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์ผ่านการท่องเที่ยวเชิงธรณีวิทยาซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ของการอนุรักษ์และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติเพิ่มมากขึ้นทั้งในด้านคุณค่าของแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ และด้านการท่องเที่ยวซึ่งจะดึงดูดนักท่องเที่ยวนำรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่นและประเทศ ประชากรในพื้นที่มีงานทำ มีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ประชากรในพื้นที่เกิดจิตสำนึกในการอนุรักษ์และหวงแหน ส่งผลให้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่าได้รับการปกป้องคุ้มครองอย่างยั่งยืน เกิดเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางธรณีวิทยาอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งศึกษา วิจัย ของนักวิชาการทั้งในและต่างประเทศอีกด้วย

ครม.เห็นชอบ เสนอ "อุทยานธรณีสตูล" เป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลก
           วันที่ 8 พ.ย. 2559 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบเสนอให้อุทยานธรณีสตูลเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก (UNESCO Globat Geoparks) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ ดังนี้
1.เห็นชอบให้เสนออุทยานธรณีสตูลเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก (UNESCO Globat Geoparks)
2. มอบหมายให้คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) กระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินการเสนออุทยานธรณีสูตลเป็นสมาชิกธรณีโลกของยูเนสโกต่อสำนักเลขาธิการยูเนสโก ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รายงานว่า อุทยานธรณีโลกของยูเนสโก  (UNESCO Globat Geoparks) เป็นโครงการด้านการอนุรักษ์มรดกทางธรณีวิทยา โบราณคดี นิเวศวิทยา และวัฒนธรรม ขององค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก (United Nations  Educational, Scientific and  Cultural Organization : UNESCO) อุทยานธรณีโลกเป็นขอบเขตพื้นที่ที่ประกอบด้วยแหล่งที่มีคุณค่าด้านธรณีวิทยา โบราณคดี นิเวศวิทยา และวัฒนธรรม มีการบริหารจัดการแบบองค์รวมระหว่างการอนุรักษ์ การให้ความรู้ การศึกษาวิจัย  และการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน  ส่งเสริมและเปิดโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการ เชื่อมโยงความสำคัญของมรดกทางธรณีวิทยาผ่านการท่องเที่ยวเชิงธรณีวิทยา
 
ปัจจุบันทั่วโลกมีอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก จำนวนทั้งสิ้น 120 แห่ง ใน 33 ประเทศ โดยภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีอุทยานธรณีธรณีโลกของยูเนสโกแล้ว จำนวน 4 แห่ง ใน 3 ประเทศ ประกอบด้วย ประเทศสหพันธรัฐมาเลเซีย 1 แห่ง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม 1 แห่ง และสาธารณรัฐอินโดนีเซีย 2 แห่ง 
        อุทยานธรณีสตูล (Satun Geopark) ได้รับการประกาศเป็นอุทยานธรณีระดับประเทศในเดือนพฤศจิกายน ปี 2559 อุทยานธรณี  สตูลครอบคลุมพื้นที่ 2,597.21 ตารางกิโลเมตร  เป็นพื้นที่ที่มีความโดดด่นทางธรณีวิทยาระดับสากลและได้รับการบริหารจัดการโดยใช้กรอบแนวคิดการอนุรักษ์ธรณีวิทยา การให้ความรู้ และการพัฒนาอย่างยั่งยืน อุทยานธรณีสตูลอาศัยมรดกทางธรณี เป็นสื่อกลางเชื่อมโยงมรดกทางธรรมชาติ มรดกทางวัฒธรรม และวิถีชิวิต เพื่อสร้างความเข้าใจและความตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญของแผ่นดินที่เราอาศัยอยู่

ระบบนิเวศ

ระบบนิเวศและทรัพยากรชายฝั่งมีมูลค่ามากกว่าที่คุณคิด

ได้อ่านบทความของ โรเบิร์ต คอสแทนซ่า (Robert Costanza) และคณะ[1]เรื่อง มูลค่าของการบริการของระบบนิเวศของโลกและต้นทุนทางธรรมชาติ (The Value of the World’s Ecosystem Services and Natural Capital) มีหลายประเด็นที่น่าสนใจและเป็นความรู้ที่น่าจะนำมาเผยแพร่ให้ทราบกัน  โรเบิร์ตและคณะได้กล่าวไว้ว่าการให้บริการของระบบนิเวศทางธรรมชาติและ ต้นทุนทางธรรมชาติในโลกนี้สามารถจำแนกได้ประมาณ 17 ประการด้วยกัน เช่น การให้บริการด้านการผลิตและควบคุมปริมาณก๊าซชนิดต่าง ๆ รวมทั้งก๊าซออกซิเจน การควบคุมการเกิดและการไหลเวียนของน้ำ การควบคุมการเกิดการพังทลายของดินและการสะสมตะกอนดิน การควบคุมทางชีววิทยา การกำจัดของเสีย การสร้างแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ การผลิตอาหาร หรือการบริการเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น ถึงแม้ว่าการให้การบริการทางนิเวศเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรง ชีวิตของสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ แต่มูลค่าในการให้บริการกลับเป็นมูลค่าที่ไม่ได้อยู่ในระบบตลาด (ไม่สามารถซื้อขายได้) โรเบิร์ตและคณะสามารถคำนวนมูลค่าการบริการของระบบนิเวศและต้นทุนทางธรรมชาติของโลกว่ามีมูลค่าอยู่ระหว่าง 16 – 54 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ถ้าคิดเป็นค่าเฉลี่ยก็จะอยู่ประมาณ 33 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ซึ่งสูงกว่ามูลค่าของผลผลิตประชาชาติโดยรวมชองโลก (Global Gross National Production) ที่มีอยู่ประมาณ 18 ล้านล้านเหรียญ สหรัฐต่อปีเท่านั้นหรือ เป็นอัตราส่วนประมาณ 1.8:1 นอกจากนี้แล้วโรเบิร์ตและคณะยังค้นพบว่ามูลค่าการบริการทางนิเวศที่สูง ที่สุดคือการบริการที่เกิดจากกระบวนการทางทะเลที่มีมูลค่าสูงถึง 21 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2:3 ของมูลค่าการบริการทางนิเวศของโลกทั้งหมด โดยที่ประมาณ 12.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐมาจากการบริการที่เกิดจากกระบวนการของระบบนิเวศในบริเวณชายฝั่ง ได้แก่ ระบบนิเวศแนวปะการับ ป่าชายเลน ปากแม่น้ำ และแหล่งหญ้าทะเล เป็นต้น ดังนั้นการอนุรักษ์และรักษาไว้ซึ่งระบบนิเวศชายฝั่งจึงเป็นเรื่องสำคัญและมี ความจำเป็นอันดับต้น ๆ เพื่อให้ระบบนิเวศเหล่านี้ยังคงให้การบริการทางนิเวศอย่างยั่งยืน

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีชายฝั่งทะเล ยาว 2,634 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 24 จังหวัดชายฝั่งทั้งบริเวณฝั่งอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามัน โดยมีลักษณะระบบนิเวศชายฝั่งที่หลากหลายหรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นระบบนิเวศแทบ ทุกประเภทที่สามารถเกิดขึ้นได้ในบริเวณชายฝั่งทะเลเขตร้อน (TropicalCoastal Zone) ประเทศไทยมีความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลนเป็นอันดับที่ 9 ของโลก[2]ประมาณ ร้อยละ 36 ของความยาวของพื้นที่ชายฝั่งเป็นป่าชายเลน ป่าชายเลนที่ขึ้นชื่อและยังคงความอุดมสมบูรณ์ ได้แก่บริเวณก้นอ่าวพังงาในพื้นที่จังหวัดพังงา และกระบี่ และบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามันในจังหวัดระนอง ตรัง และสตูล  เป็นต้น  ระบบนิเวศหญ้าทะเลมี เกือบทุกจังหวัดชายฝั่งของประเทศยกเว้น กรุงเทพฯ ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม หญ้าทะเลเป็นระบบนิเวศที่เชื่อมต่อระหว่างปะการังและป่าชายเลนเป็นแหล่งที่ อยู่อาศัยของปลาหลากหลายชนิด และเป็นแหล่งอาหารของพะยูน และเต่าทะเล เป็นต้น

จากการสำรวจของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในปี 2542[3]พบว่าแนวปะการังใน ประเทศไทยมีอยู่ประมาณ 154 ตารางกิโลเมตรประมาณครึ่งหนึ่งอยู่ในบริเวรอ่าวไทยฝั่งตะวันออก อ่าวไทยฝั่งตะวันตกตอนบนและตอนกลาง และอีกครึ่งหนึ่งอยู่ในบริเวณฝั่งทะเลอันดามัน แนวปะการังเป็นแหล่งน้ำที่มีระบบนิเวศที่สลับซับซ้อน เปรียบเสมือนป่าดิบชื้น มีความหลากหลายของชนิดพันธุ์สิ่งมีชีวิตสูงมาก สิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์มีความสัมพันธ์กันเป็นห่วงโซ่อาหารที่สลับ ซับซ้อนและเป็นไปอย่างสมดุล โดยสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นใช้แนวปะการังเป็นแหล่งสืบพันธุ์ แหล่งวางไข่ แหล่งอนุบาลตัวอ่อน แหล่งหลบภัย และแหล่งหากิน แนวปะการังเป็นแหล่งที่มีผลผลิตทางชีวภาพสูง ผลผลิตประเภทปลาเศรษฐกิจหลายชนิดพบในแนวปะการัง นอกจากนี้แล้วแทบทุกจังหวัดชายฝั่งของประเทศไทยมีแม่น้ำ ลำคลองมากมายหลายสายที่ไหลลงทะเล ทำให้เกิดระบบนิเวศปากแม่น้ำและปากคลองที่เชื่อมต่อกับทะเลทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนแร่ธาติอาหารจนกลายเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของสัตว์น้ำหลาย ๆ ชนิดอีกด้วย

จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยมีความอุดมสมบูรณ์ของระบบ นิเวศ และทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งเป็นต้นทุนและแหล่งบริการทางนิเวศที่สำคัญในการดำรงชีวิตของประชาชนคน ไทยที่มีมูลค่ามากมายมหาศาล ซึ่งน้อยประเทศในโลกจะมีได้ ดังนั้นการ ให้คุณค่าและให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลและ ชายฝั่งให้อุดมสมบูรณ์ มีความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อที่จะสามารถให้บริการทางนิเวศอย่างยั่งยืนได้ นั้นจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น และมีความสำคัญอย่างยิ่ง  หน่วยงานต่าง ๆ ชองภาครัฐที่มีหน้าที่ดูทรัพยากรธรรมชาติแทนประชาชนคนไทยที่เป็นเจ้าของ ทรัพยากร ไม่ควรนำระบบนิเวศชายฝั่งเหล่านี้ไปแลกหรือเสี่ยงกับการพัฒนาเพื่อหวังการ เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้นแต่จะทำให้สูญเสียระบบนิเวศเหล่านี้ไปโดย ไม่อาจจะฟื้นฟูให้เหมือนเดิมได้ เช่นการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบาราที่จังหวัดตรัง การพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่จังหวัดนครศรีธรรมราช หรือการที่จะนิรโทษกรรมเรือประมงอวนลากเถื่อนอีก 2,107 ลำ ด้วยการอ้างเหตุผลการส่งออกสินค้าสัตว์น้ำไปยังสหภาพยุโรปของกรมประมง เป็นต้น

ประเพณี

งานเทศกาล ประเพณี ประจำจังหวัดสตูล

1. งานมหกรรมเทศกาลโรตีของดีเมืองสตูลเป็นการแสดงและจำหน่ายโรตีของจังหวัดสตูล ที่มีหลากหลายประเภท โดยเฉพาะการจัดทำโรตีลอยฟ้า การโชว์ชาชัก โดยจะจัดเดือนมกราคมของทุกปี
2. งานแข่งขันว่าวประเพณีจังหวัดสตูลจัดการแข่งขันครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2519 มีว่าวเข้าแข่งขันประมาณ 50 ตัว และได้มีการจัดการแข่งขันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และสร้างความสัมพันธ์อันดี กับประเทศเพื่อนบ้านโดย จะจัดขึ้นในเดือน กุมภาพันธ ของทุกปี ณ บริเวณสนามบินสตูล ก่อนถึงเขตเทศบาลเมืองสตูลประมาณ 4 ก.ม.
3. งานแข่งขันการตกปลา"ตะรุเตา - อาดัง ฟิชชิ่งคัพ" เป็นการแข่งขันตกปลาที่มีผู้เข้าร่วมแข่งขันทั้งในและต่างประเทศจำนวนมาก โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย มีการแห่ขบวนมัจฉา การประกวดหุ่นปลา และการแสดงศิลปพื้นบ้านของชาวสตูล จัดเดือนมีนาคมของทุกปี
4. งานวันข้าวโพดหวานอำเภอท่าแพเป็นงานประจำปีของอำเภอ ภายในงานมีการจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรที่ขึ้นชื่อ คือ ข้าวโพดหวาน ซึ่งมีรสชาดหวานอร่อย จัดประมาณเดือนมีนาคมของทุกปี
5. งานวันเมาลิดกลางจังหวัดสตูลเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อเป็น การรำลึกถึงหลักธรรมคำสอน และผลงานของท่านนบีมูฮัมมัด เพื่อเป็นการส่งเสริมสถาบันศาสนาอิสลามและเพื่อผนึกกำลังของพี่น้องมุสลิมใน การร่วมกันแก้ปัญหาที่สำคัญของจังหวัด จัดเดือน พฤษภาคม ของทุกปี
6. งานประเพณีลอยเรือของชาวเลเกาะหลีเป๊ะซึ่งทำกันปีละ 2 ครั้ง คือ ในเดือน 6 (พฤษภาคม) และเดือน 12 (พฤศจิกายน) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อลอยบาปและเป็นการเสี่ยงทายในการประกอบอาชีพได้กระทำกันมานานแล้ว ผู้ริเริ่ม คือ “โต๊ะฮีหลี” ซึ่งชาวเลถือว่าเป็นบรรพบุรุษคนสำคัญ เพราะเป็นผู้บุกเบิกเกาะนี้เป็นคนแรก และเป็นที่เคารพนับถือของชาวเลเป็นอย่างยิ่งในขณะมีชีวิตอยู่
7.งานวันจำปาดะและของดีเมืองสตูลเป็นการแสดงสินค้าผลิตผลด้านการเกษตรโดยเฉพาะผลไม้ที่สำคัญของจังหวัด จัดเดือน กรกฎาคม ของทุกปี
8. งานมหกรรมอาหารจานเด็ดและของดีเมืองสตูลเป็นงานแสดงฝีมือการทำอาหาร พื้นบ้านของชาวสตูล ภายในงานมีอาหารจำหน่ายจำนวนมากล้วนเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อ ของจังหวัดสตูล โดยจะจัดงานประมาณเดือนสิงหาคมของทุกปี
9. งานประเพณีถือศีลกินเจเป็นงานประเพณีของคนไทย เชื้อสายจีนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดสตูล จัดขึ้นประมาณเดือนตุลาคมของทุกปี ณ บริเวณศาลเจ้าโป้เจ้เก้ง อำเภอเมืองสตูล เทศกาลกินเจเป็นความเชื่อของชาวจีนที่ถือเอาวันที่ 1 เดือน 9 ของทุกปี
10. งานเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวทางทะเลจังหวัดสตูลมีเป้าหมายหลักเพื่อท่อง เที่ยว ณ อุทยานแห่งชาติตะรุเตา ที่มีหาดสวย น้ำใส หาดทรายขาว เช่น เกาะอาดัง เกาะหลีเป๊ะ โดยเฉพาะเกาะตะรุเตา ซึ่งเป็นแหล่งประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ชมการแข่งขันหนีนรกตะรุเตา ชมการแสดงแสง สี เสียง และวิถีชีวิตของชาวเล จัดเดือนธันวาคมของทุกปี

วิถีชิวิต

วิถีชีวิตของชาวสตูล

ลักษณะ ภูมิประเทศ สภาพภูมิอากาศ ทรัพยากรธรรมชาติ ศาสนา ความเชื่อและสภาพสังคม ล้วนเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตของบุคคลในท้องถิ่น โดยเห็นได้จากวิถีชีวิตของชาวสตูลที่มีการประกอบอาชีพประมงเนื่องจากจังหวัด สตูลมีชายฝั่งทะเลที่อุดมสมบูรณ์ด้วยสัตว์น้ำ มีการทำหัตถกรรมพื้นบ้านด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติที่มีป่าไม้และทรัพยากรมาก มาย ลักษณะบ้านเรือนผสมผสานแบบบ้านเรือนท้องถิ่นภาคใต้และไทยมุสลิม และความเป็นอยู่ของชาวเลที่เป็นคนท้องถิ่นสตูลกลุ่มหนึ่งที่มีความเชื่อเป็น ของตนเอง

การทำประมงของชาวสตูล
จังหวัด สตูลมีพื้นที่ชายฝั่งยาว 144.80 กิโลเมตร มีพื้นที่ทำการประมงประมาณ 434 ตารามกิโลเมตร ระชากรประกอบอาชีพประมงประมาณ 4,675 ครัวเรือน ชาวประมงเหล่านี้ได้ประดิษฐ์เครื่องมือเพื่อใช้สำหรับประกอบอาชีพอันแสดงให้ เห็นถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างชัดเจน ได้แก่

เบ็ด เป็นเครื่องมือจับปลาชนิดหนึ่ง มีหลายลักษณะได้แก่
เบ็ดราว มีเชือกขึงติดกับเสาทั้งสองด้านหรือมีเสาด้านเดียว โดยมีเบ็ดผูกไว้เป็นช่วงสั้น ๆ จนหมดสายเชือก และมีเหยื่อเกี่ยวไว้ที่ตัวเบ็ดทิ้งไว้ 6 – 12 ชั่วโมงจึงไปกู้หรือเก็บปลาที่ติดเบ็ด
เบ็ดทง เป็นชื่อเรียกอุปกรณ์จับปลาชนิดหนึ่ง โดยใช้ไม้ไผ่เหลาเป็นคันเบ็ดมีเชือกและตัวเบ็ดผูกไว้ปลายเบ็ด ซึ่งสามารถไหวตัวอ่อนไปมาได้ใช้จับปลาได้ทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม เหยื่อที่ใช้ คือ ลูกปลาหรือปลาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ปุนปน (กิ้งกือ) ปลาหมึก ไส้เดือน กบ เขียด ฯลฯ
เบ็ดซัดประกอบ ด้วยตัวเบ็ดซึ่งผูกติดกับเชือกเอ็น ยาวประมาณ 30 – 50 เมตร วิธีการใช้ นำเหยื่อมาเกี่ยวกับตัวเบ็ดและขว้างลงไปในแม่น้ำลำคลอง โดยใช้ปลายเชือกผูกติดกับกับหลักหรือเสา

ส้อน เป็นเครื่องมือดักสัตว์น้ำ มีลักษณะทำจากซี่ไม้ไผ่ หรือทางกะพ้อ หรือทางจาก ยึดด้วยเชือกหรือหวายเป็นทรงกระบอก รูปทรงคล้ายไซ แต่ขนาดเล็กกว่า และใช้ดักปลาตรงที่มีน้ำไหล เช่น คู หรือร่องน้ำหรือบริเวณคันนา

โป๊ะ เป็นการจับปลาอีกวิธีหนึ่ง โดยใช้ไม้ไผ่กั้นเป็นคอก เปิดช่องทางให้ปลาไหลเข้าไปแล้วใช้อวนดัก เป็นวิธีการที่อาศัยธรรมชาติของลม เมื่อลมพัดทำให้เกิดคลื่น คลื่นทำให้ไม้ไผ่ที่ปักไว้เป็นคอกดักปลานั้นเกิดการสั่นไหว ปลาเห็นแสงและเงาของไม้ไผ่เกิดความกลัวและหลงกล จึงว่ายไปตามช่องทางของโป๊ะที่เปิดไว้ ปลาก็จะเข้าไปติดอวน การสังเกตธรรมชาติทำให้มนุษย์เกิดภูมิปัญญาใช้ประโยชน์ในการประกอบอาชีพอีก วิธีหนึ่ง นอกจากนี้ชาวประมงในจังหวัดสตูลยังได้มีการพัฒนาวิธีการเลี้ยงปลาในกระชัง ซึ่งนับเป็นแนวทางที่สร้างรายได้แก่ชาวประมงอีกทางหนึ่ง

การทำภาชนะดินเผาที่อำเภอควนโดน
การ ทำภาชนะดินเผา ที่กลุ่มเครื่องปั้นดินเผา เลขที่ 9 ถ. วิเศษมยุรา อ. เมือง จ. สตูล มีขั้นตอน และ วิธีการทำภาชนะดินเผา ตั้งแต่ การนวด ดิน การตีดินเพื่อขึ้นรูป และการปั้นตกแต่งดินให้ได้รูปภาชนะตามต้องการ รวมทั้งเครื่องมือที่ใช้ ในการทำภาชนะดินเผา เป็นโครงการ 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ มีการส่งขายต่างประเทศด้วย

การทำฝาขัดแตะฝาขัดแตะ เป็นหัตถกรรมพื้นบ้านที่ได้รับเข้าเป็นโครงการ 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ ที่ “บ้านค่ายรวมมิตร” อ. ควนกาหลง การทำฝาขัดแตะจัดเป็นการจักสานที่ต้องอาศัยความประณีตบรรจง เพราะนอกจากจะเป็นเรื่องของความแข็งแรงทนทานแล้ว ยังต้องคำนึงถึงความสวยงามอีกด้วย วัสดุที่สำคัญ คือ ไม้ไผ่ ไม้ไผ่ที่นิยมกันมากคือ ไม้ไผ่ผาก มีลักษณะลำต้นสูง สีเขียวไม่มีหนาม ลำต้นโตที่สุดมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 นิ้ว

การทำซี่ไม้ไผ
นำไม้ไผ่ที่เตรียมมาผ่าเป็นซี่ ๆ ขนาดประมาณ 2 ซม. ไม้ไผ่ 1 ท่อน จะผ่าออกได้ 12 ซี่ วิธีผ่าใช้เครื่องมือสำหรับผ่าไม้ไผ่ เรียกว่า “จำปา” มีลักษณะเป็นรูปกลมเรียงใบมีดเป็นยอดแหลมเหมือนกรวย ระยะของใบมีดมีความกว้างกำหนดไว้ตายตัวคือ ประมาณ 2 ซม. ตามขนาดที่ต้องการหลังจากนั้นนำไม้ไผ่มาเหลาข้อออกและผ่าออกเป็น 2 ซีก ด้านที่อยู่ข้างนอกติดผิวมันมีความแข็งแรงและสวยงาม เรียกว่า “หลังไม้ไผ่” ส่วนซีกที่อยู่ด้านในเรียกว่า “หน้าไม้ไผ่”เวลาสานต้องนำทั้ง 2 ส่วนมาสลับกันจะเห็นลายชัดเจนมาก
การสาน เมื่อ เตรียมวัสดุพร้อมแล้วผู้สานต้องอาศัยความรู้ และความชำนาญ ในการเลือก “ลาย” และการสาน จึงจะได้งานที่มีความแข็งแรงสวยงาม ลายที่เป็นที่นิยมกัน คือ ลายลูกแก้ว และลายปีกเหยี่ยว เพราะมีความสวยงามและคงทนมาก ใช้ทำฝาบ้าน นำไปตกแต่งอาคาร เช่น ผนังห้องประชุม ทำฝ้าเพดาน เป็นต้น การทำฝาไม้ไผ่ในจังหวัดสตูล สามารถทำเป็นอาชีพได้เป็นอย่างดี เพราะนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งภายในจังหวัดสตูล จังหวัดใกล้เคียง และประเทศเพื่อนบ้าน คือ ประเทศ มาเลเซีย และสิงคโปร์

ซาไก

ซา ไก เงาะ หรือ ชาวป่า เป็นชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในป่าเขตพื้นที่ อ.ทุ่งหว้า และ อ.ควนโดน กลุ่มคนพวกนี้จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มและเดินทางเร่ร่อนไปถึงสมาพันธรัฐ มาเลเซีย ชนเผ่าซาไก จัดอยู่ในกลุ่มนิกริโต รูปพรรณสัณฐานทั่วไปค่อนข้างเตี้ย สูงประมาณ 140 – 150 เซนติเมตร หญิงเตี้ยกว่าชาย ผิวเนื้อดำไปทางค่อนข้างสีน้ำตาล กระโหลกศีรษะค่อนข้างกว้าง ผมสีดำหยิก ขมวดกลม เป็นก้นหอย ติดหนังศีรษะหรือหยิกฟูเป็นกระเซิง คิ้วโตดกหนา นัยน์ตาสีดำกลมโต ขนตายาวงอน จมูกแบน ปากกว้าง ริมฝีปากหนา ฟันซี่โต ใบหูเล็ก ท้องป่อง สะโพกแฟบ นิ้วมือ นิ้วเท้าใหญ่ ปัจจุบันซาไกเหลืออยู่เพียง 2 - 3 กลุ่ม เท่านั้น

ภาษาของชาวซาไกเป็น ภาษาตระกูลคำโดดเช่นเดียวกับภาษาดั้งเดิม สามารถแบ่งกลุ่มได้เป็นสี่ภาษา ได้แก่ กลุ่มแต็นแอ๊น กลุ่มกันซิว กลุ่มแตะเด๊ะ และกลุ่มยะฮายย์ ซึ่งต่างก็มีระบบเสียงคล้ายคลึงกัน มีเฉพาะหน่วยเสียงกับพยัญชนะ ไม่มีระดับเสียงสูงต่ำ และมีจำนวนคำ ที่ค่อนข้างจำกัด เมื่อนำมาผูกเป็นประโยค ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงพจน์ หรือกาลแต่อย่างใด ถ้าจดคำได้มากก็จะเรียนพูดได้เร็ว ในปัจจุบัน ซาไกได้มีการติดต่อกับโลกภายนอกมากยิ่งขึ้นจึงได้มีการยืมคำจากภาษาอื่น ๆ มาใช้ด้วย

ลักษณะอุปนิสัยของชาวซาไกโดย ปกติจะมีความร่าเริง ชอบความสนุกสนาน ชอบเสียงดนตรี กลัวผี กินเก่ง กินจุ ถ้ามีอาหารอยู่ในมือเหลือเฟือก็จะกินตลอดเวลา ถ้าไม่มีอะไรกินก็ยอมอด มีนิสัยคล้าย ๆ คนเกียจคร้าน ไม่ชอบกักตุน สะสมอาหาร ซาไกผู้ชายชอบสีขาว ส่วนผู้หญิงชอบสีแดง เราจึงมักเห็นซาไกผู้ชายนุ่งผ้าสีแดง ชาวซาไกไม่ชอบอาบน้ำเพราะเชี่อว่าการอาบน้ำชำระร่างกาย จะทำให้กลิ่นป่าหายไปการออกล่าสัตว์เพื่อนำมาเป็นอาหารจะไม่ได้ผล ชาวซาไกมีความจำดีช่างสังเกต ชำนาญในการบุกป่าและวิ่งเร็ว

เครื่องนุ่งห่มซา ไกในสมัยก่อนจะแต่งกายด้วยการนุ่งห่มใบไม้เปลือกไม้โดยการนำมาผู้ร้อยเข้า ด้วยกัน และนุ่งสั้นแค่เข่า ผู้ชายเปลือยท่อนบน ปกปิดเฉพาะท่อนล่าง ผู้หญิงจะใช้ใบไม้ปิดหน้าอก หรือบางทีก็เปลือยอก ส่วนเด็กจะไม่นุ่งห่มอะไรเลย จนเมื่อได้ติดต่อกับชาวบ้านหรือคนเมืองมาก ขึ้นจึงเริ่มปรับเปลี่ยนมาเป็นนุ่งกางเกง กระโปรง สวมรองเท้า แว่นตา เป็นต้น

ชาวซาไกเป็นพวกเร่ร่อนไม่ มีที่อยู่อาศัยแน่นอน โดยมากจะอยู่กันเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณ 20 – 30 คน มักเลือกทำเลสูง ๆ เป็นที่อยู่อาศัย อยู่ใกล้แหล่งน้ำ เมื่อเลือกทำเลได้เหมาะสมกับความต้องการแล้ว จะแผ้วถางบริเวณที่อยู่ที่เรียกว่าทับ ให้โล่งเตียน ทับสร้างขึ้นโดยใช้กิ่งไม้ง่ามเป็นตอม่อ ยกแคร่ขึ้นสูงจากพื้นดิน 1 ศอก แคร่กว้าง 1 ศอกเช่นกัน ถ้าเป็นโสดจะมีแคร่เดียว ถ้าเป็นคู่ สามีภรรยาจะมี 2 แคร่อยู่ใกล้กัน โดยเว้นที่ตรงกลางไว้ หลังคาสร้างแบบเพิงหมาแหงน ใช้เสาสี่ต้น เสาสองต้นหน้าสูงระดับศีรษะ ส่วนสองต้นหลังสูงจากพื้นดินเล็กน้อย ใช้เชือกผู้โครงหลังคา นำใบไม้มามุงแบบง่าย ๆ กันได้เฉพาะแดด ดังนั้น เมื่อถึงฤดูซาไก จะไปอาศัยอยู่ตามเพิงผงโพรงถ้ำต่าง ๆ ซาไกจะหาอาหารที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เช่น เผือก มัน ผลไม้ ยอดไม้ ใบไม้ที่กินได้ทุกชนิด รวมถึงอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ เช่น ค่าง กวาง เก้ง นก หมูป่า ฯลฯ แต่งดการกินเนื้อ ได้แก่ ช้าง เสือ และงู เมื่อล่าสัตว์มาทุกครั้งจะทำพิธีถอนรังควาญทุกครั้ง เพราะเชื่อว่าสัตว์ ทุกชนิดจะมีวิญญาณสิงอยู่ หากไม่ปัดรังควานวิญญาณของสัตว์อาจจะเข้าสิงร่างกายของผู้ล่าภายหลังได้

ลักษณะสังคมของซาไกจะ มีการเลือกหัวหน้าขึ้นปกครองดูแล เมื่อหัวหน้าตายลงจะต้องมีการเลือกกันใหม่ ระบบครอบครัวของชาวซาไก นับว่ามีความมั่นคง คู่สามีภรรยาจะอยู่ด้วยกันโดยไม่มีการหย่าร้าง ชายและหญิงที่เป็นเครือญาติกันจะห้ามแต่งงานกันโดยเด็ดขาด สามีทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลรักษาภรรยาและบุตร โดยการไปหาอาหารมาให้ ลักษณะสังคมของซาไกจึงคล้ายเป็นสังคมปิด ที่สามีให้ ภรรยาเป็นช้างเท้าหลัง